เคล็ดลับออกแบบห้องผ่าตัด ให้ได้มาตรฐาน พร้อมตอบโจทย์การใช้งานจริง
- Decco develop
- 7 ก.ค.
- ยาว 2 นาที

หากพูดถึงห้องผ่าตัดหลายคนคงคิดว่าต้องสะอาดอย่างเดียวแต่จริงๆแล้ว การออกแบบห้องผ่าตัดมีรายละเอียดเยอะมาก ทั้งเรื่องวัสดุ แสง ระบบอากาศ และการจัดวางอุปกรณ์ เพื่อให้ปลอดภัยและช่วยให้ทีมแพทย์ทำงานได้เต็มที่ บทความนี้จะพาไปรู้จักกับหลักสำคัญในการออกแบบห้องผ่าตัดที่ไม่ควรมองข้าม
การออกแบบห้องผ่าตัดโดยใช้วัสดุปูพื้นและผนังไร้รอยต่อ

ในห้องผ่าตัด ความสะอาดคือเรื่องสำคัญสุด วัสดุปูพื้นและผนังที่ไร้รอยต่อช่วยลดการสะสมเชื้อและทำความสะอาดง่าย บทความนี้จะพาไปดูวิธีเลือกวัสดุที่ใช่ เพื่อห้องผ่าตัดที่ปลอดเชื้อและดูแลได้จริง
ทำไมพื้นและผนังในห้องผ่าตัดต้อง “ไร้รอยต่อ” ?
- รอยต่อ หรือร่องระหว่างแผ่นวัสดุ คือจุดอ่อนที่หลายคนมองข้าม เพราะตรงนั้นมักจะสะสมฝุ่น เชื้อโรคและความชื้น ซึ่งเสี่ยงกลายเป็นต้นตอของการติดเชื้อในระหว่างผ่าตัดได้เลย 
- การทำความสะอาด บริเวณรอยต่อไม่ง่ายเลย เพราะต้องใช้ทั้งแรงและเวลามากกว่าพื้นผิวเรียบทั่วไป ทำให้เสี่ยงมีสิ่งสกปรกตกค้างได้ง่าย 
- ห้องผ่าตัดระดับสูง ต้องเป็นพื้นที่ที่ทำความสะอาดได้ 100% ไม่มีมุมหรือช่องว่างที่เป็นแหล่งสะสมสิ่งสกปรก เพราะแบบนี้ถึงต้องระวังเรื่องรอยต่อให้มาก 
วัสดุปูพื้นที่เหมาะกับห้องผ่าตัด
- Epoxy หรือ PU Flooring เป็นพื้นไร้รอยต่อ ผิวเรียบไม่ลื่น ทนสารเคมีและเลือด ปรับพื้นโค้งขึ้นผนังได้ ช่วยลดการสะสมเชื้อ ต้องติดตั้งโดยมืออาชีพและเตรียมพื้นดีเพื่อป้องกันร่อน 
- Vinyl Sheet Flooring เป็นพื้นไวนิลม้วนที่เชื่อมรอยด้วยความร้อน มีผิวเรียบและกันน้ำ ซับแรงกระแทกได้ดี ซ่อมจุดที่เสียหายง่าย แต่ต้องติดตั้งไร้รอยแยกจริงๆ เพื่อป้องกันเชื้อสะสม 
วัสดุกรุผนังสำหรับห้องผ่าตัด
- Vinyl Wall Cladding ผนังไวนิล PVC คุณภาพสูง ป้องกันเชื้อ เชื่อมรอยด้วยความร้อน ติดตั้งกับโครงอะลูมิเนียม ช่วยระบายความชื้นและลดความร้อน เหมาะกับห้องผ่าตัด ห้องปลอดเชื้อ และห้องแล็บ
- แผ่นโลหะ เคลือบสารพิเศษ แข็งแรง ทนสารเคมีและความชื้น ผิวเคลือบป้องกันเชื้อ เหมาะกับห้องผ่าตัดเฉพาะทางหรือห้องที่ต้องการฆ่าเชื้อเข้มข้น เช่น ศัลยกรรมปลูกถ่าย 
รายละเอียดการติดตั้งที่ไม่ควรมองข้าม
- การเชื่อมรอยต่อ พื้นห้องผ่าตัดควรโค้งต่อเนื่องกับผนัง ไม่มีมุมฉาก เพื่อลดจุดสะสมเชื้อ ทำความสะอาดง่ายและช่วยรักษาความสะอาดในพื้นที่ปลอดเชื้อได้ดีขึ้น 
- Coving คือการทำพื้นให้โค้งต่อเนื่องกับผนัง ไม่มีมุมฉาก เพื่อช่วยลดการสะสมเชื้อและทำความสะอาดง่ายขึ้น 
- ซิลปิดขอบกับมุม ทุกจุดที่เชื่อมกับวงกบ ประตู หรือช่องระบบ ต้องซีลให้แน่นๆ กันน้ำกันเชื้อรา ไม่ให้เล็ดรอดเข้ามาได้ 
- สีพื้นและผนัง แนะนำให้ใช้สีโทนอ่อนๆ อย่างเทา ฟ้าอ่อนหรือขาว จะช่วยให้เห็นคราบหรือสิ่งสกปรกง่ายขึ้น ดูแลทำความสะอาดก็สะดวกกว่า 
การออกแบบห้องผ่าตัดโดยใช้แสงสว่างและฝ้าเพดาน

แสงสว่างและฝ้าเพดานในห้องผ่าตัดมีผลต่อความแม่นยำและความสะอาดของการผ่าตัด บทความนี้จะพาไปรู้จักวิธีออกแบบแสงและฝ้าให้ใช้งานได้จริง ช่วยให้ทีมแพทย์ทำงานง่ายขึ้น
การจัดแสงในห้องผ่าตัด
- Surgical Light (ไฟผ่าตัด) ติดตั้งเหนือโต๊ะผ่าตัดแบบแขนพับหรือแขนกล้อง ให้แสงสว่าง 100,000–160,000 ลักซ์ ปรับทิศทางและความเข้มได้ ใช้หลอด LED แสงไม่ร้อน ลดเงา ไม่ปล่อย UV หรืออินฟราเรด 
- Ambient Light (ไฟทั่วไป) ให้แสงสว่างทั่วห้อง 300–500 ลักซ์ ใช้โคมฝังฝ้าหรือแนบเพดาน เพื่อลดฝุ่นสะสม สีแสงควรอยู่ที่ 4,000–5,000 เคลวิน ช่วยให้เห็นสีเลือดและเนื้อเยื่อได้ชัดเจน 
- ข้อควรคำนึง หลีกเลี่ยงโคมที่มีเงาหรือแสงจ้า ควรมีไฟสำรองและระบบควบคุมแสงแยกโซน ปรับได้ตามขั้นตอนการผ่าตัด แสงต้องเพียงพอ ไม่แยงตา ไม่เกิดเงา เพื่อให้มองเห็นชัดเจนโดยไม่ล้า 
การออกแบบฝ้าเพดานในห้องผ่าตัด
- พื้นผิวและฝ้า ควรเรียบ ไม่มีรอยต่อ ฝ้าใช้แบบแผ่นเรียบหรือชนสนิท เพื่อลดการสะสมของฝุ่น วัสดุควรกันเชื้อและกันความชื้น เช่น แผ่นโลหะเคลือบสีพิเศษ หรือ PVC ความหนาแน่นสูง 
- ฝ้าควรรองรับช่องกรองอากาศ HEPA สำหรับระบบ Laminar Airflow ที่ปล่อยลมจากบนลงล่าง และแผ่นฝ้ารอบช่องปล่อยลมต้องซีลแน่นทุกด้าน เพื่อป้องกันการรั่วไหลของอากาศ 
- ทำความสะอาดง่าย ควรเลือกฝ้าที่ไม่ดูดซับความชื้นและเช็ดล้างได้บ่อย เช่น ฝ้าโลหะเคลือบสารกันเชื้อหรือฝ้า PVC แบบไม่มีรูพรุน ช่วยให้ดูแลรักษาง่ายและสะอาดอยู่เสมอ 
คุณสมบัติฝ้าในห้องผ่าตัดที่ควรคำนึง
- ความสูงเพดาน ควรสูงอย่างน้อย 2.7 เมตร เพื่อให้ติดตั้งแขนกล้อง แขนไฟ และระบบอากาศได้อย่างสะดวก ไม่เกะกะการใช้งาน 
- ช่องเซอร์วิส ควรมีให้น้อยที่สุดและต้องซีลให้แน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศหรือฝุ่นเล็ดลอดเข้ามา 
- สีฝ้าเพดานและผนัง ควรใช้สีโทนอ่อนอย่างขาวหรือเทาอ่อน จะช่วยสะท้อนแสงได้ดีและลดเงา ทำให้บรรยากาศดูสว่างและปลอดโปร่งขึ้น 
- ควบคุมฝุ่นและแรงดันอากาศ ระบบเพดานต้องปิดสนิทเพื่อรักษาแรงดันบวกในห้องผ่าตัด ไม่ให้ฝุ่นหรือสิ่งสกปรกจากข้างนอกเล็ดลอดเข้ามา 
การจัดวางอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ในห้องผ่าตัด

การจัดวางอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ในห้องผ่าตัดมีผลมากต่อความสะดวกและความปลอดภัยของทีมแพทย์ บทความนี้จะช่วยให้เข้าใจการจัดวางที่ทำให้ ใช้งานง่ายและช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
วางแผนพื้นที่ในห้องผ่าตัดอย่างมีระบบ
- ห้องผ่าตัด ควรแบ่งพื้นที่ระหว่างโซนสะอาดกับโซนเครื่องมือหรือเวชภัณฑ์ เพื่อความเป็นระเบียบและลดการปนเปื้อน 
- โต๊ะผ่าตัด ควรวางตรงกลางห้อง มีพื้นที่ว่างรอบๆ อย่างน้อย 1.5 เมตร เพื่อให้ทีมแพทย์เคลื่อนที่รอบตัวได้สะดวกครับ 
- การวางตำแหน่งอุปกรณ์ ควรวางให้ไหลตามขั้นตอนการผ่าตัด ตั้งแต่เตรียมตัว ทำหัตถการ จนถึงเก็บเครื่องมือ เพื่อช่วยให้ทำงานได้รวดเร็วและสะดวก 
เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ในห้องผ่าตัดที่ควรมี
- ไฟผ่าตัด ควรติดแขนเพดาน ปรับทิศทางได้ตามต้องการ ไม่บังพื้นที่ทำงานและไม่มีสายไฟเกะกะให้รกตา แสงต้องสว่างชัด ลดเงาและแสงจ้า เพื่อช่วยให้หมอทำงานได้แม่นยำและไม่เมื่อยล้า 
- ตู้เก็บอุปกรณ์หรือเวชภัณฑ์ ควรติดตั้งแบบBuilt-inหรือฝังผนัง เพื่อช่วยลดฝุ่นและทำให้พื้นที่พื้นโล่ง ใช้งานสะดวกขึ้น 
- รถเข็นอุปกรณ์ ควรมีล้อเคลื่อนย้ายง่าย สามารถล็อกล้อได้แน่นเพื่อไม่ให้ไหลขณะใช้งาน มีความปลอดภัยและใช้งานสะดวก 
- มอนิเตอร์หรือแขนกล้อง ติดตั้งบนแขนหมุนได้รอบโต๊ะผ่าตัด เพื่อความคล่องตัว ไม่รบกวนการเคลื่อนไหวของทีมแพทย์ 
- อ่างล้างมือ ควรตั้งอยู่ใกล้ประตูทางเข้าห้องผ่าตัด แต่ไม่อยู่ในโซนปลอดเชื้อโดยตรง เพื่อความสะดวกและรักษาความสะอาด 
แนวทางการจัดวางให้ปลอดเชื้อและใช้งานคล่องตัว
- การจัดวางอุปกรณ์ ควรหลีกเลี่ยงการวางของไว้บนพื้นโดยตรง เพื่อให้ทำความสะอาดง่าย และช่วยลดความเสี่ยงของการปนเปื้อน 
- การจัดพื้นที่ ห้องไม่ควรมีมุมอับหรือทางตัน เพื่อให้เดินหรือเข็นอุปกรณ์ได้รอบห้องอย่างคล่องตัว ไม่สะดุด 
- สายไฟและท่อ ควรซ่อนไว้ใต้ฝ้าหรืออยู่ในระบบแขนกล้อง เพื่อลดความเกะกะและช่วยป้องกันการสะสมของฝุ่น 
- เฟอร์นิเจอร์ ควรทำจากวัสดุกันน้ำ ไม่ดูดซึมและมีขอบโค้งมน เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและช่วยลดการสะสมของเชื้อโรค 
- จุดจัดเก็บขยะติดเชื้อ ควรวางแยกจากโซนปลอดเชื้อชัดเจน ใช้ถังเฉพาะพร้อมฝาปิด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและควบคุมความสะอาด 
การออกแบบห้องผ่าตัดให้มีระบบระบายอากาศและควบคุมความชื้นที่ดี

การควบคุมอากาศและความชื้นในห้องผ่าตัด เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค บทความนี้จะชวนมาดูวิธีดูแลให้เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของทีมแพทย์และผู้ป่วยครับ
ทำไมอากาศในห้องผ่าตัดต้องควบคุมพิเศษ
- ลดจำนวนเชื้อในอากาศ ระบบต้องช่วยกรองและลดเชื้อจุลชีพ พร้อมป้องกันไม่ให้อากาศจากภายนอกไหลย้อนกลับเข้ามา เพื่อคงความสะอาดในห้องผ่าตัด 
- ควบคุมอุณหภูมิและความชื้น ต้องปรับให้อยู่ในระดับที่เหมาะกับทั้งผู้ป่วยและทีมแพทย์ พร้อมช่วยลดกลิ่น ยา และสารเคมีในอากาศไม่ให้สะสม 
ระบบอากาศที่ใช้ในห้องผ่าตัด
- ระบบระบายอากาศแบบแรงดันบวก ห้องผ่าตัดจะถูกควบคุมให้มีความดันอากาศสูงกว่าพื้นที่รอบข้าง พอเปิดประตูอากาศจะไหลออกและไม่ไหลย้อนกลับเข้ามา ช่วยป้องกันเชื้อโรคและฝุ่นจากภายนอกไม่ให้เล็ดรอดเข้าสู่ห้องผ่าตัด 
- ระบบกรองอากาศด้วย HEPA Filter กรองอนุภาคขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอนได้ถึง 99.97% ติดตั้งในระบบจ่ายอากาศเข้า เป็นสิ่งจำเป็นในห้องผ่าตัดปลอดเชื้อทุกระดับ โดยเฉพาะผ่าตัดใหญ่หรือปลูกถ่ายอวัยวะ 
- Laminar Airflow (LAF) ระบบนี้จะปล่อยลมสะอาดจากด้านบนลงตรงโต๊ะผ่าตัดแบบชั้นเดียว ช่วยลดการหมุนวนของอากาศที่อาจพาเชื้อกลับเข้ามา เหมาะกับห้องผ่าตัดที่ต้องการควบคุมเชื้อสูง เช่น ผ่าตัดหัวใจหรือผ่าตัดสมอง 
การควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในห้องผ่าตัด
- อุณหภูมิแนะนำ อยู่ที่ 18–24°C ตามประเภทหัตถการ ต้องมีระบบควบคุมแม่นยำ แยกจากระบบอื่นของโรงพยาบาล เพื่อให้เหมาะกับการผ่าตัด 
- ความชื้นสัมพัทธ์ ควรอยู่ระหว่าง 30–60% ตามมาตรฐาน ASHRAE และ CDC เพราะถ้าความชื้นต่ำเกินไปจะทำให้เสมหะหรือเนื้อเยื่อแห้ง ส่วนความชื้นสูงเกินไปก็ทำให้เชื้อราและแบคทีเรียโตได้ 
- ระบบควบคุม Air Handling Unit (AHU) ควรแยกเฉพาะสำหรับห้องผ่าตัด ดูแลทั้งการกรองอากาศเย็นและลดความชื้น พร้อมบำรุงรักษาเป็นประจำ เพื่อป้องกันเชื้อสะสมในท่อกรองอากาศ 
สรุป
การออกแบบห้องผ่าตัดควรใช้พื้นและผนังแบบไร้รอยต่อ เพื่อความสะอาดและป้องกันเชื้อโรค การเลือกใช้สีอ่อนจะช่วยให้เห็นคราบต่างๆ ชัดเจน ไฟผ่าตัดต้องสว่างและปรับได้ ฝ้าเพดานควรเรียบและสูง รองรับระบบกรองอากาศ การจัดวางอุปกรณ์ควรเป็นระเบียบ มีพื้นที่เดินสะดวก ส่วนระบบอากาศต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสมเพื่อป้องกันเชื้อโรค



ความคิดเห็น